วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

สุดยอดอาหาร ดูแลสุขภาพดวงตาให้แข็งแรง สดใสไปอีกนาน

สุขภาพตาดีได้ด้วยอาหารดีมีประโยชน์

ดวงตา ก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆของร่างกาย การทานอาหารที่ดีมีประโยชน์จากธรรมชาติช่วยให้คุณมีสุขภาพตาที่แข็งแรง และมีดวงตาที่สดใสไปอีกนาน

1.ผลแอปริคอท ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก

2.โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ผลวิจัยในต่างประเทศพบว่า อุดมด้วยแคโรทีนอยด์ และซีเอแซนทีน ช่วยเรื่องการมองเห็น หรือสายตา เพิ่มความสามารถในการมองเห็น รักษาโรคตาบอดกลางคืน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการรับภาพ และป้องกันแสง โดยเฉพาะแสงสีน้ำเงิน และสีฟ้า ทำให้ดวงตาเสื่อมช้าลง มักถูกแปรรูปเป็นเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ต้มเพื่อดื่มน้ำ และใช้ในเชิงสมุนไพรสำหรับประกอบอาหารด้วย

3.เสาวรส ผลไม้เปรี้ยวอมหวานมีวิตามินเอสูงมาก ทำให้การมองเห็นชัดเจน นอกจากนั้น ยังพบว่ามีวิตามินซีมากกว่ามะนาว จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้

4.ผลไม้ตระกูลส้ม วิตามินซีที่พบได้ในผักและผล เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้น สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัดและนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย

5.ผักเคล/กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโลหิตจางได้อีกด้วย
6.ถั่วสีน้ำตาลแดง ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยธาตุสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา
7.ปลาแซลมอน เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตา และยังสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้อีกด้วย
8.มันเทศ มันเทศเป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย อีกทั้งยังมีสารต้านมะเร็งที่สูง ราคาไม่แพงและหาซื้อได้ง่ายมากๆ
9.ผักคะน้า คะน้ามีลูทีน และ ซีแซนทีน ที่ช่วยบำรุงสายตาสูง รับประทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการเสี่ยงของการเกิด โรคต้อกระจก ได้ถึง 20 % โรคกระจกตาเสื่อม (AMD) มะเร็งเต้านมและโรคหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย
10.ผักบุ้ง ผักบุ้งแก้ตาฟาง ลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเป็นเวลานาน และช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง
11.ฟักทอง ฟักทองช่วยในการมองเห็น ป้องกันเยื่อบุตาแห้ง และกระจกตาเป็นแผล
12.ผักตำลึง มีเบต้าแคโรทีน และแคโรนอยด์ แก้โรคตามัวตอนกลางคืน

อาหารดีๆมีคุณค่า ประโยชน์จากพืชผักอื่นๆ

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

แคนตาลูป ลดโอกาสเสี่ยงโรคหัวใจและโรคอัลไซเมอร์ ต้อกระจก

ประโยชน์ของแคนตาลูปต่อสุขภาพตา 
Benefits of Cantaloupe for Healthy Eyes.

"แคนตาลูป" (Cantaloupe) อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน 2,020 ไมโครกรัม 19% มีลูทีน และ ซีแซนทีน 26 ไมโครกรัม ที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก วิตามินเอ 169 ไมโครกรัม 21% ช่วยบำรุงสายตา วิตามินซี 36.7 มิลลิกรัม 44% ที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีแคลเซียม 9 มิลลิกรัม 1% ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
นอกจากนี้ยังมีความหวานของน้ำตาลธรรมชาติ รวมถึงสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายด้วย เช่น วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก โดยแคนตาลูป 1 ชิ้น น้ำหนักประมาณ 250 กรัม ให้พลังงาน 40 แคลอรี่ ซึ่งแคนตาลูปที่ปลูกในช่วงฤดูกาลประมาณเดือนเมษายน จะมีวิตามิน1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 และวิตามินซีมากเป็นพิเศษกว่าแคนตาลูปที่ปลูกนอกช่วงฤดูกาล
วิตามินบี 6 ที่มีอยู่มากในแคนตาลูปสำคัญต่อการเผาผลาญอาหารและการสร้างพลังงาน ทั้งโฟเลตที่มีส่วนช่วยขยายในการผลิตเม็ดเลือดและสำคัญต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ วิตามินบี 6 และโฟเลตนี้จะสามารถลดระดับสารโฮโมซิสเทอีน (Homocysteine) ที่มีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันแล้วว่า การมีระดับโฮโมซิสเทอีนสูง สัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้น วิตามินบี 6 และโฟเลตในแคนตาลูปจึงลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าวได้
นอกจากนั้นยังช่วย
  1. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  2. ช่วยในการชะลอวัย และลดการเกิดริ้วรอย
  3. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
  4. ช่วยเสริมสร้างภูมิร่างกายให้แก่ร่างกาย
  5. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
  6. มีส่วนช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
  7. มีส่วนช่วยในเรื่องของการเกิดสมาธิ
  8. น้ำแคนตาลูปปั่น หวานสดชื่น ดับร้อน แก้กระหายได้เป็นอย่างดี 
  9. มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ
  10. มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิต
  11. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
  12. ช่วยในการลดไข้ เพราะน้ำแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น
  13. ช่วยดับร้อนแก้กระหาย
  14. ช่วยเป็นยาขับปัสสาวะ
  15. ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ
  16. ช่วยเคลือบกระเพาะอาหารบรรเทาอาการอักเสบของลำไส้
  17. ช่วยบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
  18. ช่วยในการขับน้ำนม
  19. ช่วยในการขับเหงื่อ
  20. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ข้อแนะนำ
ควรเลือกแคนตาลูปที่กำลังสุกพอดี ถ้าอ่อนมากเกินไปจะไม่มีกลิ่นหอม แต่ถ้าสุกมากเกินไปเมื่อลองเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างในยิ่งเสียงน้ำมาก เท่าไหร่แปลว่ายิ่งสุกมากเท่านั้น และให้เลือกผลขนาดกลางๆ น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม โดยเลือกผิวที่เรียบตึง ไม่เป็นรอยหยักหรือเลือกที่เป็นสีนวลเหมือนเปลือกไข่ก็ใช้ได้
ข้อควรระวัง
ไม่ควรรับประทานแคนตาลูปติดต่อกันนานจนเกินไป เนื่องจากแคนตาลูปเป็นผลไม้ที่ดูแลยาก มีปัญหาเรื่องโรคต่างๆและแมลงต่างๆมากมาย โดยการปลูกแคนตาลูปนั้นต้องใช้ยาที่แรงและฉีดบ่อยครั้ง บางสวนฉีดยาไม่เว้นวัน จนถึงวันเก็บผลผลิตขาย ดังนั้น จึงทำให้เกิดการสะสมยาในลูกแคนตาลูป จึงควรเว้นระยะและเปลี่ยนไปรับประทานผลไม้ตระกูลแตงอื่นๆบ้างเพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของสารตกค้าง 

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

มะละกอ ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ช่วยคนเลิกบุหรี่

ประโยชน์ของมะละกอ
"มะละกอ (Papaya) ช่วยการป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม"

งานวิจัยตีพิมพ์ในต่างประเทศกล่าวว่าการกินผลไม้ 3 ครั้งต่อวันอาจลดความเสี่ยงของอาการภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ อันเป็นสาเหตุของการเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ เนื่องจากคนไทยกินมะละกอ ทั้งดิบและสุกเป็นประจำ จึงมีความเสี่ยงลดลงในการเกิดโรคดังกล่าว
มะละกอ (Papaya) มีประโยชน์ค่อนข้างหลากหลาย มีสรรพคุณเป็นทั้งยารักษาโรค โดยสรรพคุณมะละกอ เช่น ใช้เป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เป็นต้น และยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และบำรุงสายตา เช่น วิตามินเอ 47 ไมโครกรัม 6% เบต้าแคโรทีน 274 ไมโครกรัม 3% ลูทีน และ ซีแซนทีน 89 ไมโครกรัม วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน เป็นต้น
ข้อควรระวัง :
สำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวกcarotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลือง

มะละกอยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย
  • เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้
  • ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้ แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง
  • ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนใช้ประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ
  • แก้เคล็ดขัดยอก ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก
  • โดนตะปูตำเป็นแผล ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง
  • แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปื่อย ตำพอกที่แผล
  • แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้นใช้พอกหรือทาที่แผล วันละ 2-3 ครั้ง
  • แก้ผดผื่นคัน ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อย ๆ
  • กลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปื่อย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้
  • โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก
  • เท้าบวม เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาวใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้
  • คัน เพราะพิษของหอยคัน ซึ่งจะเป็นตุ่มคัน ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย
  • ไข้เปลี่ยนฤดู ใช้ใบมะละกอสด 1 กำมือ ตำพอแหลกผสมเหล้าขาว 3 ช้อนแกง คั้นเอาน้ำรับประทาน
  • อาการไข้ขึ้นสูง ใช้เนื้อมะละกอดิบ ต้มให้สุกจนเปื่อย ใช้พอกที่ศีรษะเวลาไข้ขึ้นสูง ดื่มน้ำต้มมะละกอตาม ช่วยให้ไข้ลดลงได้ดี
  • โรคในระบบทางเดินหายใจ ใช้ดอกมะละกอสดหรือแห้งต้มใส่น้ำตาลพอหวาน กรองเอาน้ำรับประทานครั้งละ 1 แก้ว
  • หิด ระยะเริ่มแรก ใช้ใบมะละกอต้มน้ำดื่ม อาการหิดจะหายไป
  • ร้อนใน ใช้รากมะละกอ 1 คืบ ต้มกับน้ำซาวข้าวรับประทานครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ
  • โรคริดสีดวงทวาร ท้องผูก ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ท้องผูก เสียดท้อง เบาหวาน รับประทานมะละกอสุกจนนิ่มหลังอาหารเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง จะค่อย ๆ หายไปเอง
  • นิ่ว ใช้รากมะละกอตัวผู้ 1 กำมือ ต้มเอาน้ำดื่มแทนน้ำชา จะช่วยขับนิ่วออกมา
  • ขับพยาธิ ใช้เม็ดมะละกอแห้งคั่วบดเป็นผง ละลายน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาดลูกมะเขือพวงรับประทานเช้า-เย็นครั้งละ 2-3 เม็ด หรือใช้ยางมะละกอสด 1 ช้อนแกง ไข่ไก่ 1 ฟอง ผสมกันแล้วทอดให้สุกรับประทานตอนท้องว่างในเวลาเช้า
  • ลูกอัณฑะโต ใช้ลูกมะละกอดิบเผาไฟให้ร้อนจัด ห่อด้วยผ้าหนา ๆ ใช้นาบคลึงบนหน้าท้องบริเวณหัวเหน่า เมื่อความร้อนของมะละกอลดลงให้ผ่าครึ่งตามความยาวเอาเมล็ดออก แล้วใช้ประกบที่ลูกอัณฑะจนมะละกอเย็น ทำวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วันจะหาย
  • เลิกบุหรี่ ใช้ใบมะละกอแก่ ๆ หั่นเป็นฝอย มากน้อยตามต้องการ นำไปตากแห้ง แล้วใช้ผสมยาเส้นมวนเป็นบุหรี่สูบ จะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้
  • ปวดประสาท ใช้ใบมะละกอสดย่างไฟหรือจุ่มน้ำร้อนใช้ประคบบริเวณที่ปวด
  • ขับประจำเดือน ใช้เมล็ดแก่ ๆ คั่วให้กรอบแล้วบดเป็นผง 2 ช้อนชาผสมกับเหล้าขาว 3 ช้อนโต๊ะ รับประทานเช้า เที่ยง เย็น ช่วยขับเลือดประจำเดือนเสียและอาการปวดท้องจะหายไป
  • ลบรอยด่างดำต่าง ๆ ที่ไม่พึงปรารถนาบนผิวหนังและใบหน้า ใช้มะละกอสดตำพอกบ่อย ๆ หรือน้ำคั้นจากมะละกอสุกใช้ทาลบรอยฝ้าแดด ฝ้าลมให้จางหาย หรือใช้ยางจากลูกมะละกอสดทาเป็นประจำวันละ 2-3 ครั้งจนหาย
  • แก้หูด ให้สะกิดหัวหูดให้เปิดแล้วเอายางมะละกอทาวันละ 2-3 ครั้งจนหาย
  • ลบรอยส้นเท้าแตก ใช้ยางจากลูกสดทาจนหาย
  • สิว ก็ใช้ยาแต้มที่หัวสิว หรือรับประทานมะละกอสุกเป็นประจำ แก้อาการท้องผูกช่วยในการระบาย ซึ่งสาว ๆ ที่ลดความอ้วนมักนิยมทาน และทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวย บ้างก็ใช้เนื้อที่สุกพอกหน้าเพื่อลดจุดด่างดำและผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
  • มะละกอสุกมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญ เช่น มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย มีวิตามินเอบำรุงสายตา มีธาตุเหล็กบำรุงเลือด มีแคลเซียมบำรุงกระดูก มีสารเพคตินที่เคลือบกระเพาะอาหาร ปัจจุบันมีการสกัดสารสำคัญจากมะละกอสุกไปใช้ทำเครื่องสำอางและส่วนผสมในเครื่องสำอาง ๆ มากมาย
  • ล้างลำไส้ ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ให้ทำชามะละกอดื่มเป็นประจำ โดยเอามะละกอดิบปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มจนน้ำเดือด อาจปรุงแต่งรสด้วยใบเตยหรือเก๊กฮวยตามชอบ แล้วกรองเอาแต่น้ำ แล้วเอาน้ำร้อนนั้นไปชงกับใบชา แช่ไม่เกิน 3 นาที กรองเอาน้ำเก็บไว้ดื่ม และควรงดอาหารประเภทผัดทอดหรือของมัน ช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โฮลเกรน ลดความเสี่ยงโรคหัวใจความดัน มะเร็งทางเดินอาหาร เบาหวาน จอประสาทตาเสือม

ประโยชน์ของโฮลเกรน 
ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี


จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) มาจากค่าดัชนีน้ำตาลที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคโฮลเกรน (Whole Grains) ซึ่งเป็นธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ลดลงได้ถึง 8% และโฮลเกรนยังลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ความดันสูง โรคมะเร็งในทางเดินอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือช่วยป้องกันท้องผูกอีกด้วย

โฮลเกรน (Whole Grains) เป็นธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยมากหรือไม่ผ่านเลย และยังมีส่วนประกอบครบถ้วนทั้ง

 - เยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) คือส่วนนอกสุด อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร แถมยังมีวิตามินบี แร่ธาตุ โปรตีน และธาตุเหล็ก

 - เนื้อเมล็ด (Endosperm) ส่วนนี้เป็นส่วนหลักของธัญพืชเลยทีเดียว จะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นส่วนใหญ่ มีโปรตีนและวิตามินบีเล็กน้อย ถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ
 - จมูกข้าว (Germ) เป็นส่วนที่เล็กที่สุด แต่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย เช่น วิตามินบี วิตามินอี แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์ต่าง ๆ
 จึงทำให้มีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวไรย์ ข้าวฟ่าง ข้าวกล้องงอก ข้าวบัควีท (Buck Wheat) ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ลูกเดือย ถั่วดำ ข้าวกล้องหอมนิล และข้าวกล้องแดง เป็นต้น
         ส่วน โฮลวีต (Whole Wheat) นั้นจะหมายถึงธัญพืชเต็มเมล็ดที่เป็นข้าวสาลีเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ข้าวสาลีที่เป็นโฮลเกรน ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจกับทั้งสองคำนี้ให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดในการบริโภค
         โฮลเกรน (Whole Grains) อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์
โฮลเกรน อาหารสุขภาพแห่งปี
         นอกจากนี้นานาประเทศยังได้ให้ความสำคัญในการหันมาบริโภค โฮลเกรน อย่างแพร่หลาย เห็นได้จากข้อแนะนำการบริโภคอาหารของประเทศ ต่าง ๆ อาทิ My Pyramid, Steps to a Healthier You ของ USDA Dietary Guidelines ของสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้บริโภคโฮลเกรน หรือธัญพืชเต็มเมล็ด อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน หรือ 48 กรัมต่อวัน โดยสามารถรับประทานได้ในชีวิตประจำวันอย่างง่าย ๆ เช่น กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว เลือกซีเรียลที่ทำจากโฮลเกรนเป็นอาหารเช้าเลือกกินขนมปังที่ทำมาจากโฮลเกรน หรือเลือกแครกเกอร์โฮลเกรน คุกกี้ข้าวโอ๊ตเป็นอาหารว่าง แทนขนมถุง ควรเลือกใช้แป้งโฮลเกรนแทนแป้งขาวในการทำอาหาร เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงและป้องกันโรคร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อีกด้วย
        แถมทานเป็นประจำยังช่่วยเรื่องของน้ำหนัก ... จากผลการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณพืชเต็มเมล็ดที่บริโภคต่อน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นระยะยาวของทีมนักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ พบว่า การให้อาหารเสริมด้วยธัญพืชเต็มเมล็ดจำนวน 40 กรัมทุกวันจะทำให้น้ำหนักตัวลดลง 0.49 กิโลกรัม และทุก ๆ 20 กรัมที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำหนักลดลง 0.36 กิโลกรัม

ข้อมูลอ้างอิงจาก

วิตามิน แร่ธาตุ สำหรับคนสายตาสั้น

วิตามิน แร่ธาตุ สำหรับคนสายตาสั้น

ด้วยสังคมและการใช้ชิวิตที่เปลี่ยนไป ที่นำเอาเทคโนโลยีมาไว้ในมือ จากสภาพแวดล้อมดังกล่าวทำให้การใช้สายตาจดจ้องกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งสิ่งใดติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เป็นปัจจัยให้ในปัจจุบันผู้คนมีภาวะสายตาสั้นเพิ่มมากขึ้น เมื่อสายตาสั้นแล้ว หากไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ก็อาจทำให้สายตาสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นควรทานอาหารดีมีวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงสายตาอยู่เป็นประจำ ดังนี้

รู้จักวิตามิน และ แร่ธาตุ สำหรับคนสายตาสั้น
1.วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีความสำคัญต่อร่างกายในด้านการมองเห็น ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน(Night Blindness) แหล่งอาหารที่สำคัญ ได้แก่ อาหารจากสัตว์ พบมากใน น้ำนม เนย เนยแข็ง ตับ น้ำมันตับปลา โปรวิตามินเอพบในผักผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้ม แดง และผักใบเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เช่น ผักตำลึง ยอดชะอม คะน้า ยอดกระถิน ผักโขม ฟักทอง มะม่วงสุก บรอกโคลี แคนตาลูป แตงกวา ผักกาดขาว มะละกอสุก หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ พริกหวาน แตงโม กระเจี๊ยบเขียว


2.วิตามินบี 1 มีคุณสมบัติช่วยบำรุงดวงตาได้เป็นอย่างดี การขาดวิตามินบี 1 มีผลทำให้ประสาทที่นำภาพไปสู่สมองเกิดความผิดปกติได้ แหล่งอาหารที่สำคัญ ได้แก่ ถั่วลิสง ข้าวซ้อมมือ เต้าหู้ งา กระเทียม สาหร่าย ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ยีสต์ ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี ไข่ นม

3.วิตามินอี มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคตา โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด จากการวิจัยพบว่า การขาดวิตามินอีทำให้จอรับภาพของดวงตาเสื่อมได้ แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืช จมูกข้าวสาลี ถั่วเมล็ดแห้ง และธัญพืชต่างๆ กะหล่ำปลี เมล็ดทานตะวัน ถั่วเปลือกแข็งประเภทอัลมอนด์ มันเทศ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ อะโวคาโด (เฉพาะเนื้อ) ปวยเล้ง

4.สังกะสี มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ การมองเห็นในที่มืด และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ถ้าขาดสังกะสีแล้วจะเจริญเติบโตช้า ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และตาบอดกลางคืนได้ อาหารที่ให้ธาตุสังกะสีสูงและดูดซึมได้ดีคือ พบได้มากในอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น อาหารทะเล ในหอยนางรม เนื้อ ตับ ไข่ นม ไก่ ปลา ข้าวกล้อง และถั่ว
นอกจากนั้น อย่าลืมปรับพฤติกรรมการใช้สายตาให้เหมาะสม เช่นหลังจากคุณอ่านหนังสือทุกๆ 40-50 นาที ควรพักสายตาด้วยการมองไกลๆ หรือมองต้นไม้ ใบไม้เขียวๆ บ้าง

ที่มา :
นิตยสารรายปักษ์ "ชีวจิต"
ภาพจากอินเตอร์เน็ต

    วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

    ประโยชน์ของมะเขือเทศสีเหลือง


    ประโยชน์ของมะเขือเทศสีเหลือง 
    Benefits of Yellow Cherry Tomato


    ผักผลไม้สีเหลือง มีสารที่ชื่อว่า “ลูทีน” (Lutein) ซึ่งช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสีที่อยู่ในเรตินา ในดวงตาของคุณ ประโยชน์ของผักผลไม้สีเหลืองนั้น มะเขือเทศสีเหลือง มี ไนอาซิน และ โฟเลต มากกว่า มะเขือเทศ อื่น ๆ หากขาดผักผลไม้สีเหลืองแล้วเมื่ออายุมากขึ้นอยู่ในวัยชราแล้ว ก็อาจจะทำให้ดวงตาพร่ามัว มองไม่ชัดหรือมองไม่เห็นได้ การบริโภคอาหารควรให้ครบ 5 หมู่ เพื่อมีสุขภาพที่ดี




    คุณประโยชน์ของมะเขือเทศสีต่างๆ

    1. สีแดงหรือสีชมพู เกิดจากเม็ดสีในกลุ่มของไลโคฟีน (Lycopene) หรือแอนโทไซยานีน (Anthocanin) ไลโคฟีนจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วน แอนโทไซยานินนั้นช่วยต้านอนุมูลอิสระและชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมองตลอดจนชะลอความเสี่ยงของดวงตา

    2. สีส้มหรือสีเหลือง เกิดจากเม็ดสีในกลุ่มของแคโรทีนอยด์ (carotenoid) เช่น เบต้า-แคโรทีน (Beta-carotenoid) แอลฟา-แคโรทีน (alpha - carotenoid) ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) วิตามินเอ และวิตามินซี เป็นต้น มีคุณสมบัติช่วยรักษาสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด ช่วยบำรุงสายตาทำให้สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก โรคมะเร็ง โรคหัวใจและช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี

    3. สีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน มาจากเม็ดสีที่เรียกว่า แอนโทแซนทินส์ (anthoxanthin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ส่งเสริมหลายชนิด เช่น อัลลิซิน (alilicin) ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ความดันโลหิต ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร และโรคหัวใจ มีฤทธิ์ต่อต้านการเกิดเนื้องอก

    ข้อควรสังเกต/ข้อควรระวัง
    1. มะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อนกลับ จึงควรกินมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ ในปริมาณจำกัด
    2. น้ำจากผลมะเขือเทศสุกมีสารไลโคเปอร์ซิซิน (Lycopersicin) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย
    3. ใบมีฤทธิ์ฆ่าแมลง โดยชงกับน้ำร้อนใช้กำจัดหนอนและแมลง ที่มากินผักได้

    ข้อมูลอ้างอิง :

    http://www.laservisionthai.com/th/lasikhealthcorner/Benefits-of-YellowCherryTomato.html

    วิตามิน แร่ธาตุ by LASIK LaserVisionThailand
    http://www.laservisionthai.com/th/lasikhealthcorner/vitamin.html

    ประโยชน์ผักกาดเขียว ลดความเสี่ยงต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม

    ประโยชน์ของผักกาดเขียว
    The benefits of Mustard Greens


    ผักกาดเขียว (Mustard Greens) มีสารอาหารสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส โดยเฉพาะ
    เบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินA ให้แก่ร่างกายทำให้ป้องกันโรคตาฟาง (Blurred vision)
    ตาบอดกลางคืน (Night blindness) หรือ ต้อตาชนิดต่างๆในผู้สูงอายุได้ และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี เส้นใยอาหารสามารถป้องกันโลหิตจาง ทั้งยังมีเส้นใยที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของอวัยวะดังกล่าวทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ สุขภาพจึงดีตามไปด้วย

    ผักกาดเขียว (Mustard Greens) อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ดังนี้
    Vitamin A | Vitamin B1 (Thiamin) | Vitamin B2 (Riboflavin) | Vitamin C | Vitamin K | Vitamin E | Calcium | Dietary Fiber | Magnein B3 (Niacin) | Vitamin B6 | Vitamin B9 (Folate, Folic Acid) | sium | Manganese | Iron | Potassium | Copper |


    ผักและผลไม้อาจลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่อไปนี้
    ต้อกระจก และ จอประสาทตาเสื่อม (AMD)
    - ความดันโลหิตสูง
    - มะเร็งบางชนิด งานวิจัยกว่า 200 รายงานให้ข้อสรุปเดียวกันว่า การกินผัก ผลไม้ในปริมาณมากอาจช่วย    ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดได้
    - โรคหัวใจบางประเภท การกินผักผลไม้ 30-35 จานเล็กในแต่ละสัปดาห์ (ประมาณวันละ 5 จาน) อาจลด      ความเสี่ยงของหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้
    - ผนังลำไส้โป่งพอง บางครั้งทำให้เกิดอาการปวดท้องเมื่อผนังลำไส้ใหญ่โป่งพองเกิดการอักเสบหรือ        ติดเชื้อ


    ข้อมูลจาก

    Info : health-club.org

    ประโยชน์ของผักกาดเขียว
    http://www.laservisionthai.com/th/lasikhealthcorner/Benefits-of-Mustard_Greens.html

    สุดยอดอาหารดูแลสุขภาพดวงตา by LASIK Laser Vision Thailand
    http://www.laservisionthai.com/th/EyeCare/Healthy_eyes.html


    เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene)
    http://www.laservisionthai.com/th/lasikhealthcorner/Beta-carotene.html